เมืองมัลลิกา ร.ศ. 124 เสน่ห์ย้อนยุคแห่งวิถีชาวสยาม

เป็นไปได้ไหม ถ้าเราจะย้อนเวลากลับไปเมื่อครั้งสมัย ร.ศ. 124 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 คำตอบคือ…เป็นไปได้ และใช้เวลาเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น

เมืองมัลลิกา ร.ศ. 124 เป็นเมืองโบราณที่จำลองขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวไทยบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในสมัยรัชกาลที่ 5 ในยุคเลิกทาส ตั้งอยู่ที่ ตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ภายในเมืองถูกเนรมิตให้เหมือนกับยุค ร.ศ. 124 ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม การแต่งกาย อาหาร รวมไปถึงเงินที่ใช้แลกเปลี่ยนซื้อสินค้าภายในเมือง ราวกับนั่งไทม์แมชชีนย้อนยุคไปก็ไม่ปาน

สำหรับชื่อเมือง “มัลลิกา” นั้น มีความหมายตามพจนานุกรมไทยว่า “มะลิ” จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าภายในเมืองจะมีจุดที่น่าสนใจมาก ๆ อย่างลานมะลิ ที่รวบรวมดอกมะลิหลากหลายสายพันธุ์มาให้เราได้สัมผัสทั้งกลิ่นหอม ๆ และดอกสวย ๆ นอกจากนี้ภายในเมืองมัลลิกายังมีสถาปัตยกรรมไทยต่าง ๆ ให้ได้ชมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสะพานหัน หอชมเมือง เรือนจำลองของชาวบ้านทั้งเรือนเดี่ยว เรือนคหบดี เรือนหมู่ โรงครัว เรือนแพ รวมทั้งย่านการค้าภายในเมืองด้วย ซึ่งสถาปัตยกรรมทั้งหมดนั้นออกแบบโดย อาจารย์ชาตรี ปกิตนนทกานต์ อดีตคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ภาควิชาสถาปัตยกรรมไทย มหาวิทยาลัยศิลปากร

ความน่าสนใจของเมืองมัลลิกานั้นอยู่ที่ “ทุกอย่างย้อนยุคทั้งหมด” ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย อาหาร ร้านค้า รวมไปถึงเงินด้วย การจับจ่ายใช้สอยภายในเมืองจะใช้เงินที่เรียกว่า เงินรู โดยเงินรู 1 สตางค์มีค่าเท่ากับ 5 บาท ดังนั้นก่อนเข้าประตูเมืองจะต้องแลกเงินเป็นเงินรูเสียก่อนจึงจะเข้าไปจับจ่ายซื้อของภายในเมืองได้ ส่วนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายนั้นก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะที่นี่มีชุดไทยให้เช่าในราคาถูก และถ้าใครเดินไม่ไหวก็มีบริการรถลาก เที่ยวละ 50 บาท ที่สามารถซื้อตั๋วได้ที่ห้องขายตั๋วหน้าเมือง สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของที่นี่คือ เมนูอาหาร มีบริการอาหารบุฟเฟ่ต์ 2 มื้อ คือ มื้อกลางวัน และมื้อเย็น โดยมื้อกลางวันมีอาหารไทยให้เลือกถึง 18 เมนู รวมทั้งมีเมนูที่หารับประทานได้ยากในปัจจุบันอย่าง หมูโสร่งแปลง แกงบวน       แกงรัญจวน แยมหยวก ขนมลืมกลืน ขนมรังไร ม้าฮ่อ ทุกเมนูใช้กรรมวิธีในการทำแบบดั้งเดิมที่รับรองความอร่อยแน่นอน ส่วนมื้อเย็นนั้นจะเพิ่มอาหารที่หารับประทานยากอย่าง หมี่กรอบ น้ำพริกขี้กา แกงรัญจวน ห่อหมกปลายี่สก แกงมัสมั่น         ยำมะกะโท และออเดิร์ฟพิเศษอย่างข้าวตังหน้าตั้งสูตรดั้งเดิม รวมไปถึงเครื่องดื่มสมุนไพรไทย แถมด้วยการแสดงนาฏศิลป์ไทยอีก 6 ชุด ได้แก่ โขน ชุดทศกัณฐ์รบพระราม (ยกรบ) รำโคมบัวประทีปรัตนโกสินทร์ แผ่นดินมัลลิกา รำซัดชาตรี รำกินรีร่อน ระบำศรีชัยสิงห์ กระบี่กระบอง เรียกได้ว่าคุ้มค่ามากทีเดียว ทั้งอาหารปาก อาหารตา และอาหารใจ

ใครที่สนใจจะเข้าชมเมืองมัลลิกา สามารถเลือกบัตรเข้าชมได้ทั้งหมด 6 ประเภท คือ บัตรเข้าชมแบบธรรมดา ผู้ใหญ่ ราคา 250 บาท เด็ก/ผู้สูงอายุ ราคา 120 บาท บัตรเข้าชมพร้อมชุดไทย ผู้ใหญ่ ราคา 400 บาท เด็ก/ผู้สูงอายุ ราคา 300 บาท บัตรเข้าชมพร้อมรับประทานอาหารกลางวัน (บุฟเฟ่ต์) ผู้ใหญ่ ราคา 500 บาท เด็ก/ผู้สูงอายุ ราคา 250 บาท บัตรเข้าชมพร้อมรับประทานอาหารกลางวัน (บุฟเฟ่ต์) และชุดไทย ผู้ใหญ่ ราคา 650 บาท เด็ก/ผู้สูงอายุ ราคา 450 บาท บัตรเข้าชมพร้อมรับประทานอาหารเย็น (บุฟเฟ่ต์) และการแสดงนาฏศิลป์ไทย ผู้ใหญ่ ราคา 700 บาท เด็ก/ผู้สูงอายุ ราคา 350 บาท บัตรเข้าชมพร้อมรับประทานอาหารเย็น (บุฟเฟ่ต์) การแสดงนาฏศิลป์ไทย และชุดไทย ผู้ใหญ่ ราคา 900 บาท เด็ก/ผู้สูงอายุ ราคา 500 บาท

ว่าแล้วก็ขึ้นไทม์แมชชีน เดินทางสู่กาญจนบุรี ย้อนยุคสู่เมืองมัลลิกา ร.ศ. 124 ด้วยกันเลย

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Related Post

One Day Trip ณ ลพบุรี ง่ายนิดเดียวOne Day Trip ณ ลพบุรี ง่ายนิดเดียว

“ลพบุรี” เป็นจังหวัดหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณภาคกลางของประเทศไทย โดยมีแม่น้ำสำคัญที่ไหลผ่านจัดหวัด คือ แม่น้ำลพบุรี ลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่ม และที่ราบสลับเนินเขา มีลักษณะภูมิอากาศแบบร้อนชื้น ประชากรส่วนใหญ่หาเลี้ยงชีพด้วยการทำเกษตรกรรม เนื่องจากพื้นที่มีความเหมาะสม แต่ในปัจจุบันลพบุรีกำลังถูกพัฒนาเศรษฐกิจในด้านอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ในตัวเมืองลพบุรีสามารถทำได้ง่าย ๆ หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้รถยนต์ส่วนตัว รถตู้โดยสาร หรือรถไฟ ซึ่งในบทความนี้ผู้เขียนอยากแนะนำผู้อ่านให้ลองไปเที่ยวตัวเมืองลพบุรีแบบ One Day Trip ด้วยรถไฟและรถตู้โดยสารกันสักครั้ง หากออกเดินทางจากกรุงเทพฯ รถไฟที่จะพาท่านเดินทางไปยังลพบุรีในรอบเช้าช่วงที่เหมาะสมมากที่สุดมีด้วยกัน 2 รอบคือ รถไฟขบวนที่ 111 และขบวนที่ 7

ความสงบบนดินแดนที่ไม่สงบ “เบตง” มหานครอินดี้ความสงบบนดินแดนที่ไม่สงบ “เบตง” มหานครอินดี้

ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ถือเป็นอุปสรรคสำคัญของการเดินทางไปท่องเที่ยว เพราะความหวาดกลัวจากจิตใจของเราเองทั้งนั้น คุณรู้ไหมว่าพื้นที่ทั้งสามจังหวัดนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คุณคิด เพียงแต่คุณต้องปฏิบัติตามคำบอกของเจ้าหน้าที่และคนพื้นถิ่น แล้วคุณจะได้พบกับความสวยงามที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้เลย ใต้สุดแดนสยาม วลีที่ทุกคนคุ้นหู ถูกต้องแล้วเรากำลังจะเชื้อเชิญให้คุณไปเปิดประสบการณ์ครั้งแรก และลบความกลัวออกจากใจของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้กันที่ เบตง เบตง อำเภอใต้สุดของจังหวัดยะลาและใต้สุดของประเทศไทย สถานที่แห่งนี้รวบรวมวัฒนธรรมทั้งไทย จีน มุสลิม และมลายูได้อย่างลงตัวอีกแห่งหนึ่ง ที่นี่เป็นเมืองสงบเรียบง่าย เน้นท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและอารยธรรมเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นใครที่อยากสโลว์ไลฟ์ เบตงสามารถตอบสนองคุณได้อย่างสมบูรณ์แบบ การเดินทางเข้าสู่เมืองเบตง คุณจะได้รับการต้อนรับจากสะพานข้ามทะเลสาบฮาลาบาลา ทะเลสาบที่สวยระดับต้น ๆ ของประเทศ ซึ่งขนาบคู่ไปกับป่าฮาลาบาลา ป่าดิบชื้นที่มีพื้นที่ครอบคลุมจังหวัดยะลา นราธิวาส และประเทศมาเลเซีย

เที่ยวตามศาสตร์ฮวงจุ้ย รีสอร์ทและสวนสนุก Wonderland บนเขาที่สระบุรีเที่ยวตามศาสตร์ฮวงจุ้ย รีสอร์ทและสวนสนุก Wonderland บนเขาที่สระบุรี

เชื่อหรือไม่ว่าจังหวัดสระบุรีมีบ้านบนภูเขาที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ฮวงจุ้ย นอกเหนือจากฟาร์มโชคชัย สถานที่ท่องเที่ยวอันเลื่องชื่อแล้ว อำเภอมวกเหล็ก เมืองสระบุรีแห่งนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้กลิ่นอายธรรมชาติอย่างรีสอร์ทฮวงจุ้ยบ้านภูเขาอยู่ด้วย รีสอร์ทฮวงจุ้ยบ้านภูเขาให้ความรู้สึกอบอุ่น เพราะโอบล้อมไปด้วยทิวเขาและสายน้ำ ด้วยเนื้อที่กว่า 100 ไร่ เจ้าของคืออาจารย์หม่าซินแสชื่อดังที่เป็นผู้สืบทอดศาสตร์แห่งฮวงจุ้ย มีจุดกำเนิดมาจากความต้องการบ้านที่ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ยโบราณ ประกอบไปด้วยบ้านพักหลายขนาด ขึ้นอยู่กับจำนวนนักท่องเที่ยว โดยบ้านหลังใหญ่เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเป็นครอบครัวใหญ่ สามารถรองรับคนได้ประมาณ 8-10 คน บ้านหลังกลางสำหรับนักเดินทาง 3-4 คน และบ้านเดี่ยวหลังเล็กสำหรับ 2 คน รวมทั้งยังมีเต็นท์ติดแอร์ให้เลือกพักด้วย เวลาเช็คอิน คือ 14.00 น. และ