ประเทศไทยเป็นหนึ่งในหลาย ๆ ประเทศของโลกที่มีธุรกิจการท่องเที่ยวเป็นธุรกิจหลักที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำเข้าประเทศ เนื่องด้วยข้อได้เปรียบทางด้านพื้นที่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับบริเวณเส้นศูนย์สูตร ทำให้ประเทศไทยมีความหลากหลายและความอุดมสมบูรณ์ในเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยว่าทำไมประเทศไทยถึงได้มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภูเขาสีเขียว หรือทะเลสีคราม เรียกได้ว่านักท่องเที่ยวท่านใดหากมีโอกาสได้มาเยือนสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติในประเทศไทยจะต้องประทับใจไม่รู้ลืมอย่างแน่นอน
และหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่จะพลาดไปเสียไม่ได้ในประเทศไทยนั้น ก็คือการได้เดินเท้าเหยียบย่ำเข้าไปในดินแดนแห่งป่าเขาลำเนาไพร ไปสัมผัสกับธรรมชาติที่สวยงามและน่าอนุรักษ์ไว้ให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานได้มีโอกาสมาเห็นกับตา ว่านอกจากแสงสีเสียงของสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองใหญ่โตนั้นแล้ว ยังมีสถานที่เล็ก ๆ ที่เงียบสงบแต่ชวนให้อบอุ่นหัวใจตั้งอยู่ตามพื้นที่ห่างไกลในต่างจังหวัด รอให้เขาเดินทางเข้ามาสัมผัสด้วยตนเองอีกมากมาย
“ผาหินกูบ” ชื่อนี้อาจจะไม่เป็นที่คุ้นชินเท่าไหร่สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่สายเดินป่า แต่ถ้านักท่องเที่ยวท่านใดที่อยู่ในแวดวงการเดินป่าก็คงจะรู้จักกันดี หรือไม่ก็อาจจะเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้างไม่มากก็น้อย ผาหินกูบตั้งอยู่ในพื้นที่เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว หน่วยพิทักษ์ป่าทุ่งเพล ต.ฉมัน อ.มะขาม จ.จันทบุรี มีความสูงจากระดับทะเลปานกลางประมาณ 960 เมตร และด้วยระยะทางเดินกว่า 6 กิโลเมตร ประกอบกับทางเดินที่มีความลาดชันสูงในบางพื้นที่ อาจทำให้นักเดินป่าฝึกหัดมือใหม่หลาย ๆ ท่าน ต้องใช้ระยะเวลาเดินเท้า 5-7 ชั่วโมง เลยทีเดียว กว่าจะได้มีโอกาสขึ้นไปสัมผัสกับธรรมชาติและบรรยากาศของขุนเขาและความสวยงามของหินกูบด้านบน
ซึ่งนี่ก็คงเป็นอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ที่ตราตรึงใจนักท่องเที่ยวให้หลงใหลไปกับการท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เพราะไม่เพียงเป็นการฝึกฝนร่างกายของเราท่านให้พร้อมต่อการบุกบั่นไปให้ถึงยังยอดเขาอันเป็นจุดหมายปลายทางเท่านั้น แต่ยังเป็นการฝึกฝนจิตใจให้มีความอดทน มีความมานะพากเพียรในการที่จะนำพาตนเองไปยังจุดหมายที่ตั้งใจให้สำเร็จ
การก้าวเท้าเดินเข้ามาในป่าแห่งหนึ่งในทุก ๆ ครั้งนั้น ดูเผิน ๆ อาจเหมือนเป็นการพักผ่อนที่ไม่ใช่การพักผ่อน เพราะเหมือนเรานำพาร่างกายมาเผชิญกับความเหนื่อยยากลำบาก แต่แท้ที่จริงแล้วหากพิจารณาให้ดีกลับพบว่า เมื่อใดก็ตามที่เท้าของเราย่างเหยียบไปบนพื้นดินอันเป็นตำแหน่งของยอดเขา เมื่อร่างกายของเราได้สัมผัสกับลมหนาวและไอหมอก ได้สัมผัสกับความงดงามของท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ระยิบระยับไปด้วยดวงดาวนับล้านดวง ตลอดจนไออุ่นของแสงแรกในยามเช้า เมื่อนั้นจิตใจก็ประหนึ่งเหมือนได้รับการฟื้นฟูเพื่อให้เรามีพลังใจ พลังกายที่จะกลับไปสู้กับปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของเราอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเรื่องแบบนี้ต่อให้อ่านอีกกี่ร้อยรอบก็คงไม่สู้ได้ไปสัมผัสด้วยตนเอง ลองมาเป็นนักเดินทางสายป่าสักครั้งในชีวิตก็คงไม่เสียหายอะไรมิใช่หรือ